ยินดีต้อนรับ อาคันตุกะ ทุกท่าน

สมัคร Blogger.com ตั้งแต่ยังเป็นเว็ปอิสระ ต้องสร้างรหัสผ่าน แต่ตอนนั้นเพิ่งหัดใช้คอมพิวเตอร์จึงทำผิดพลาดตอนสร้างรหัส ทำให้บล็อก avijjabhikkhu เข้าไม่ได้ ต้องสร้างบล็อกใหม่ใช้ชื่อใหม่ จากคำว่า bhikkhu เป็น pikkhu แทน
ด้วยข้อจำกัดด้านเวลา-ข้อมูล-สติปัญญา-ความรู้ความสามารถ-ความรีบเร่ง ทำให้เกิดความผิดพลาดได้ ผู้เขียนขออภัยเป็นอย่างยิ่ง และขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำเพื่อการแก้ไขความผิดพลาด ผู้เขียนไม่สงวนลิขสิทธิ์สำหรับการคัดลอก การนำไปเผยแพร่ที่ไม่ใช่เพื่อการค้า ขอเพียงแต่อย่าแอบอ้างว่าเป็นผลงานของผู้อื่น แต่ผู้เขียนขอสงวนลิขสิทธิ์ในผลงานนี้ สำหรับการนำไปเผยแพร่เพื่อการค้าหากำไร
*นักเรียน อย่าลอกเป็นการบ้านไปส่งครูนะครับ เพราะไม่สุจริต ไม่เป็นประโยชน์แก่การพัฒนาความรู้ความสามารถ ดูไว้เป็นตัวอย่างก็พอ
มีอะไรสงสัย ไม่เข้าใจ ต้องการคำอธิบาย ก็ถามมาได้

วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2556

คนดี..มั่นคงในความดี : กาพย์ฉบัง ๑๖



คนดี..มั่นคงในความดี : กาพย์ฉบัง ๑๖

    รงรองผ่องพรรณกรรณิการ์............สวยสะดุดตา(รงรอง=งดงาม)
ท่ามกลางไพรพนาป่าสณฑ์

    ต่างรูปต่างสีพิมล............พร่างพรูสุวคนธ์
พรวนพลภุมรินบินแรม(พรวน=กลุ่ม)

    ต่างเบ่งต่างบานคราญแย้ม............แทรกยอดสอดแซม
แต่งแต้มพงพีจิรกาล(จิรกาล=เวลาช้านาน)

    มิได้ใคร่แสวงแข่งขาน..............มินำพาพาน
ไพรสาณฑ์พันธุ์พฤกษ์ดอกไร้

    เปรียบเสมือนคนดีมีใจ.............รักดี อดิศัย
ทำดีมิใฝ่ใจสน

    แม้สังคมสั่งสมคน.............ชั่วมานชาญมล
(คนดี)หาจนใจไคลความดี

    แม้คนสรรพพร้อมอัปรีย์..............เพื่อตนได้ดี
(คนดี)หามีศีลธรรม์สั่นคลอน

    ดีงามล้ำค่าดุจ อมร...............โศภินทินกร(อมร=ไม่เสื่อมสูญ,โศภิน=งาม)
บวรสวัสดิ์นิรัติศัย(นิรัติศัย=ประเสริฐอย่างยิ่ง)

    ศรัทธากุศลธรรมอำไพ..............ธรเที่ยงเกรียงไกร(ธร=การรักษาไว้)
มิแปลงเปลี่ยนไปประลัยเอย ฯ(ประลัย=ความย่อยยับไป)

๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๖

วันพุธที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2556

พ่อแม่จ๋า อย่าตีหนู : โคลงสี่สุภาพ



พ่อแม่จ๋า อย่าตีหนู : โคลงสี่สุภาพ

. หนูเป็นแค่เด็กน้อย..................ตาดำๆ
เพิ่งพูดไม่กี่คำ...........................หัดได้
เดินยังค่ำหัวคะมำ......................เตาะแตะ
พ่อแม่อย่าคาดให้......................เก่งกล้าเกินวัย ฯ

. ความอยากเห็นอยากรู้.............โลกา
คิดใคร่เห็นกับตา........................จับรื้อ
ข้าวของพังเพ พา.......................โดนด่า
แตกหักเสียหายดื้อ......................แม่ซ้ำพ่อตี ฯ

. เด็กเล็กเมื่อไม่ได้.....................ดั่งใจ
เอาปัญญาจากไหน......................ไขแก้ ?
มีปากแผดเสียงไป.......................ชลเนตร ไหลนอง
พ่อแม่เติบใหญ่แท้.......................ตอบด้วยตีไฉน ?

. การเล่น=สิ่งเลิศล้ำ....................ความสุข
เด็กย่อมรักการสนุก.......................เท่านั้น
กิน-นอน-อาบน้ำ ฯลฯ ขลุก.............ขอเล่น
ใยจึ่งคอยบีบคั้น............................เด็กต้องตามใจ ฯ

. พ่อแม่ต่างโตแล้ว......................ควรคะนึง
รังแกเด็กมิพึง...............................ถูกต้อง
ขาดเดียงสาเด็กจึง.........................รอสั่ง สอนเฮย
ตราบปัญญาเติบพ้อง......................ย่อมรู้ใดควร ฯ

. หากรักลูกอย่าให้........................ยักษ์สิง
ตี-ด่า=ป่าเถื่อนจริง.........................จงเว้น
เมตตา-กรุณาอิง.............................แอบจิต
ถูก-ผิด ทำตัวเน้น............................เด็กได้ลอกเลียน ฯ

. พ่อแม่ตี->ลูกต้อย........................ตีตาม
ทุจริตเด็กชิดความ...........................ชั่วส้อง
ลูกเขลาโง่แลลาม............................พ่อแม่
ใช่ใครอื่นจักต้อง..............................เป็นผู้รับผล ฯ


๓๐ ตุลาคม ๒๕๕๖

วันอังคารที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2556

คนรัก-คนชัง : กลอนแปด



คนรัก-คนชัง : กลอนแปด

    มีกรรมกร หนึ่งนาย ร้านขายน้ำ.............สู้ตากตรำ ทำงาน ขันอุตสาห์
สุจริต จิตใส ไร้มารยา............................ด้วยใบหน้า แย้มยิ้ม ปริ่มไมตรี

    แม้หูหนวก+เป็นใบ้ ไม่โศกเศร้า...........มาทำงาน แต่เช้า ไม่เซ้าซี้
นายสั่ง...ทำ ตามให้ ไม่รอรี.....................ไร้ท่าที ขี้เกียจ เบียดบังงาน

    ไม่เย่อหยิ่ง ยโส อวดโอหัง..................ไม่ชิงชัง ผู้อื่น ชื่นสุขศานติ์
ไม่ทำให้ ใครหมั่น ไส้รำคาญ....................ไม่ทะเยอ ทะยาน ขันแข่งใคร

    ถูกดุด่า ว่ากล่าว ไม่เอาความ................ไม่ทุจริต จิตทราม ทำสาไถย
ไม่ต่อล้อ ต่อเถียง ขึ้นเสียงใคร..................ไม่ถือสา ถ้าใคร ใคร่ล้อเลียน

    เพื่อนแกล้งกร่าง อย่างไร ไม่คิดโกรธ.....ทำประโยชน์ สารพัด ไม่ผัดเพี้ยน
อ่านไม่ออก ด้วยไม่ ได้เล่าเรียน.................แม้จะเขียน ชื่อตน ยังจนใจ

    รายได้น้อย เพราะว่า ค่าแรงต่ำ..............แต่เลิศล้ำ น้ำจิต สถิตใส
หน้าที่ทำ ต่ำต้อย ด้อยกว่าใคร...................แต่ทุกคน รักใคร่ ให้เมตตา

    อุทาหรณ์ สอนให้ ได้ฉุกคิด...................อย่ายึดติด ภาพพจน์  ทรัพย์ยศฐาน์
ข้าวของใช้ ดูดี มีราคา ฯลฯ........................คิดเอาว่า พาได้ ใครรักดล

    แต่ละเลย คุณธรรม ความประพฤติ...........สร้างความอึด อัดให้ ไปทุกหน
เห็นแก่ตัว ชั่วช้า ใครจะทน.........................ไม่มีคน รักใคร่ จริงใจเอย ฯ


๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๖

วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ลวงหรือรัก ? : กาพย์ยานี ๑๑



ลวงหรือรัก ? : กาพย์ยานี ๑๑

    พี่สาว พี่สาวครับ.................หนุ่มมารับ ไปเที่ยวไหน ?
ดูสิ พี่เปลี่ยนไป......................ชวนแปลกใจ ไฉนกัน ?

    แต่งหน้า แต่งตาตน.............เป็นคนละคน จนคิดขัน
(เขียน)คิ้วโก่ง โค้งเกาทัณฑ์.......ขนตายาวนั้น ก็ของปลอม

    หน้าอก หนุน-ยกใหญ่...........อดข้าว-ไข่ ฯลฯ จนผ่ายผอม
วางท่า กระจกซ้อม...................ใส่น้ำหอม แทบมอมเมา

    พูดจา ช่างดัดจริต................ไมตรีจิต แต่ติดเขลา
กุลสตรี ผู้ดีเค้า........................ทำท่าเยาว์ ราว ๑๐ ปี

    พี่ชาย พี่ชายครับ.................จะมารับ สาวหรือพี่ ?
เสื้อผ้า สะอาดดี.......................ก่อนหน้านี้ ขี้เกียจซัก

    สร้อยทอง ใส่ของแม่.............เงินก็แบ มือขอขวัก
กู้ยืม ลืมใช้มัก..........................หวังสาวรัก เพราะพี่รวย

    เทคแคร์ ดูแลสาว.................(งามที่บ้าน)สันหลังยาว ไม่เคยช่วย
ปัญญา ซังกะบวย.....................อวดสาวสวย (ว่า)ฉลาดมี

    พี่สาว พี่ชายครับ...................ปิดความลับ ได้หรือพี่ ?
"ลวง" หรือ คือวิธี.....................คนมีรัก มักทำกัน ?

    ครองคู่ รู้ความจริง..................ไม่ชิงชัง ยังสุขสันติ์ ?
นี่หรือ คือสัมพันธ์.......................ครองรักมั่น นิรันดร ?

๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๖

วันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2556

คิดถึง เพื่อนเก่า : กลอนแปด



คิดถึง เพื่อนเก่า : กลอนแปด
เพื่อนดี หายากยิ่งกว่าเงิน-ทอง
เป็นเสมือนของมีค่า
จงรู้จักรักษาทะนุถนอมไว้ใกล้ๆตัว

    เสียดาย...เสียดาย...เสียดายโอกาส........เกินจะสามารถ จัดการแก้ไข
ฉันพลาดโอกาส เพราะขลาดเขลาใจ..............หวนคิดยามใด เสียดาย...เสียใจ...

    เรารู้จักกัน ตอนนั้นยังเยาว์.....................ไม่รู้เรื่องราว ฉันเขลา-เหลวไหล
เอาแต่เที่ยวเล่น ไม่เห็นค่าใคร.......................ชอบทำตามใจ ใฝ่สุขใส่ตน

    เมื่อเธอเข้ามา เสนอไมตรี......................ฉันแค่ยินดี มิใส่ใจสน
คบเธอเป็นเพื่อน เหมือนเพื่อนทุกคน...............ล้อเล่นซุกซน ทโมนเป็นลิง

    จนเราจากกัน เพื่อการศึกษา...................เหินห่างร้างตา ไม่มาสุงสิง
เธอเป็นอดีต ไม่ติดใจจริง..............................ชีพหมุนวุ่นวิ่ง ทุกสิ่งวกวน

    แลฉันเรียนรู้ ต่อสู้ชีวิต...........................ฉันเริ่มได้คิด จัดจิตพิศค้น
ฉันจึงเข้าใจ ในความเป็นคน...........................ฉันเพิ่งรู้ตน ช่างฉลโง่งม

    โลกใหญ่ไพศาล คนลานหลากไหล..........สักคนจริงใจ ไม่เคยสบสม
ล้นเล่ห์ล่อหลอก จิ้งจอกสังคม........................ศัตรูอุดม ระทมอุรา

    บ่อยครั้งนั่งเศร้า เหงาหงอยน้อยจิต...........เบื่อหน่ายเป็นนิจ ชีวิตอิดหนา
สังคมมนุษย์ สุดแสนมารยา.............................เห็นแก่ตัวคร่า บีฑาผู้คน

    ทำให้หวนจิต คิดถึงเพื่อนเก่า....................ผู้ใจใสเพรา สกาวสถล
เธอคือมิตรแท้ แต่ฉัน...พาลชน........................โง่เขลาเมามล เธอทนอภัย

    วันนี้เสียใจ ...เสียดายโอกาส....................ฉันทำผิดพลาด อนาถเหลวไหล
เพราะความโง่เซ่อ พาลเสียเธอไป.....................เฝ้าแต่เสียใจ...เสียดาย...เสียดาย...ฯ


๒๗ ตุลาคม ๒๕๕๖

วันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เหตุ-ปัจจัย-กลไกชีวิต : กลอนคติสอนใจ



เหตุ-ปัจจัย-กลไกชีวิต : กลอนคติสอนใจ
(ฉันทลักษณ์ที่ผมคิดประดิษฐ์ขึ้นเอง)

    โภคา และอาเพศ..............ล้วนมีเหตุ มีปัจจัย
ดาลดล ผลเป็นไป..................ให้ประสบ พานพบเห็น
ทุกอย่าง ย่อมตั้งอยู่................คู่สัจสิ่ง ความจริงเป็น
ตามบท แห่งกฎเกณฑ์.............กำหนดเน้น มิเว้นวาย

    หาใช่ เช่นใจคิด.................ไม่เหมือนจิต ประดิษฐ์สร้าง
เลิศไล้ ใสสะอาง....................งามสะพรั่ง มิห่างหาย
ปราศกฎ กำหนดเกณฑ์............เร้นหลักการ ลุบั้นปลาย
ฝันยิ่ง อิงนิยาย.......................กลายกลับจริง ที่ชิงชัง

    ทุกสิ่ง ถ้วนจริงเป็น...............จงมองเห็น เช่นสัจธรรม
ไม่ได้ ดุจใจจำ.........................อย่ากำสรด หมดสิ้นหวัง
เพียรเพาะ พิเคราะห์เหตุ............ค้นหาเลศ พิเชฐดัง(พิเชฐ=ประเสริฐสุด)
สันติ สติตั้ง.............................ทรงพลัง สังค์เผชิญ(สังค์=ความข้องอยู่)

    เมื่อใจ ไม่เฉื่อยชา.................ให้ปัญญา หาทางแก้
เมื่อใจ ไม่ท้อแท้.......................ความพ่ายแพ้ แน่ห่างเหิน
เมื่อใจ ไม่บุ่มบ่าม......................ความพลาดพล้ำ ยากกล้ำเกิน
เมื่อใจ ไม่เล่อเลิน......................ความจำเริญ ไม่เกินไกล

    เพ่งสม ภิรมย์คิด....................อย่าเสพย์ติด จิตคาดข้อง
สรรพสิ่ง อิงครรลอง....................ตรองตรึกตรง มิหลงใหล
ความสุข ผูกพันเหตุ....................ปัจจัย-เขต และเลศนัย
ความทุกข์ ผูกเงื่อนไข.................บันดาลให้ ได้-มี-เป็น

    สุขี ลี้ทุกข์โศก.......................คนทั้งโลก ล้วนใฝ่ปอง
ก่อการ ตามครรลอง....................สุขสนอง/พ้องทุกข์เข็ญ
เลือกกรรม กระทำเถิด..................อย่าละเมิด ละกฎเกณฑ์
แท้เที่ยง มิเบี่ยงเบน....................เช่นศักดิ์สิทธิ์ นิจนิรันดร์ ฯ


๒๖ ตุลามคม ๒๕๕๖

วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เส้นชัย-เส้นทาง-รางวัลชีวิต : กลอนเปล่า



เส้นชัย-เส้นทาง-รางวัลชีวิต : กลอนเปล่า

   บนเส้นทางชีวิต อันอาจพินิจคิดเห็น
เฉกเช่นเดียวกับ เส้นทางแห่งการแข่งขัน

   การแข่งขัน อันดูเหมือนดั่งเช่น 
ไร้เส้นชัย
แต่ปรากฏว่า กลับไม่ไร้ซึ่งปลายทาง
ที่สร้างผลสุดท้ายของชัยชนะ และสะพรั่งรางวัล

   ชะตาชีวิต...
กำกับเส้นทางให้ต่างกันไปในแต่ละคน
ใกล้-ไกล...ไม่เหมือนกัน
กำหนดเวลาให้แต่ละคน
สั้น-ยาว...ไม่เท่ากัน
และกำนัลรางวัลให้...โดยไม่อาจเปรียบเทียบกัน

   เราต่างคน ต่างวิ่ง
ต่างช่วงชิงชัยชนะ บนเส้นทางชีวิตแห่งตน
ซึ่งเป็นคนละเส้น กับของคนอื่นๆ
และมีรางวัล...อันไม่ใช่ของใครอื่น

   แม้จะดูราวกับว่า
เราต่างเผชิญหน้ากัน
แข่งขันกัน และแย่งชิงรางวัลกัน

   แต่แท้ที่จริง เราต่างคน
ต่างกำลังแข่งขัน
กับชะตากรรม...ของตัวเอง

   เพราะชะตาชีวิต
ได้กำหนดเส้นทาง รางวัล และเวลา
เอาไว้ให้แก่เรา

   ขึ้นอยู่กับเรา
ว่าจะก้าวไปได้ไกลแค่ไหน ?
บินขึ้นได้สูงเพียงไร ?
...ในเวลาที่กำหนด

   เส้นทางที่ร้างเส้นชัย 
เพราะขึ้นอยู่ที่ใคร
จะมีความสามารถเพียงใด ?
มีความทุ่มเทแค่ไหน ?

   ใครที่พากเพียร มุมานะ อุตสาหะ พยายาม
อาจเปลี่ยนเส้นทางที่ขรุขระ คับแคบ ...ให้ราบเรียบ กว้าง ใหญ่
เปลี่ยนจุดหมายที่ต่ำ...ให้สูงส่ง

   แต่ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด
หากใครที่ปล่อยปละละเลย เกียจคร้าน ไม่เอาใจใส่ ในธุระ
เกิดอาการเหนื่อยหน่าย ท้อแท้ หมดกำลังใจ

   ไม่เพียรพยายาม
อุตสาหะจนสุดกำลังความสามารถ
ไม่ทุ่มเทเพื่อการแข่งขัน
ไม่ใช่กับคนอื่น แต่...แข่งกับตัวเอง

   ย่อมทำให้เส้นชัยที่น่าจะราบรื่น
กลับกลายเป็นยากลำบาก
ทำให้เส้นทางที่สูงส่ง กว้าง ใหญ่ ก้าวไกล
กลับกลายเป็นต่ำ ทราม และคับแคบ

   นั่นนับว่าเป็น...ความคิดที่ผิด
เป็นผลของการตัดสินใจ...ที่พลาด

    ครั้นเข็มของนาฬิกาชีวิต
เดินมาถึงตัวเลขที่ถูกกำหนดไว้ว่า...หมดเวลา
ย่อมถือว่าการแข่งขัน ในกิจการนั้นๆ...ได้สิ้นสุดลง

   ไม่ว่าใครๆจะใฝ่ฝัน หมายมั่นเอาไว้ว่า
จะวิ่งไปให้ไกล...สักแค่ไหน
จะบินไปให้สูง...สักเพียงใด

   แต่สุดท้าย...ณ ปลายทาง
เมื่อเราทำได้เท่าไหน
ก็ต้องพอใจ...กับเส้นชัยที่ไปถึง
พึงใจ...กับรางวัลที่ได้รับ

   เพราะนั่นคือทุกสิ่ง...ที่เป็นจริง
อันอาจจะนับว่าเป็นผลที่
ถูกกำกับโดยชะตากรรม
และกำหนดไว้...ด้วยการกระทำของเราเอง ฯ


๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๖

วันพฤหัสบดีที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2556

กุศลดลสันติสุข : กลอนเจ็ด



กุศลดลสันติสุข : กลอนเจ็ด

    ขอบฟ้า ขลิบทอง พรายผ่องศรี.........สายัณห์ สัญญี ฤดีไสว
สัมผัส ชัชวาล สราญฤทัย.....................รมย์รื่น ชื่นใจ ในทัศนา

    ตะวัน ยอแสง สำแดงศิลป์.................ประคิ่น ทินรงค์ ปลงอุตสาห์
พรางพรืด มืดมน อนธการ์.....................รจนา ราตรี พีรพันธ์(อนธการ=เวลาค่ำ,รจนา=ตกแต่ง)

    งดงาม ลำดับ ประทับจิต...................นิมิต กฤตยา มนาหรรษ์(กฤตยา=เสน่ห์)
สำราญ สุนทรีย์ ชื่นชีวัน........................เหน็ดเหนื่อย เมื่อยครัน มลานคลาย(มลาน=โศก-หมอง)

    กุศล ดลศานติ์ มานสถิต....................ประสิทธิ์ อิฏฐา ธรรมาหมาย
ปราศ อ กุศล ปรนสบาย.........................มิวาย ว่างเว้น เย็นฤดี

    สุขใด ใสเย็น เช่นสันติสุข...................เป็นสุข สคราญ บานเบิกศรี
กุศล ผลบุญ สร้างสุนทรีย์.......................ไม่มี มัวหม่น ผลข้างเคียง

    สร้างกุ ศลจิต สืบนิตยา......................ประหนึ่ง เทพา ฐานะเพี้ยง
เสพกุ ศลสุข ปลุกจิตเมียง......................กามสุข=ทุกข์เยี่ยง เลี่ยงเยื่อใย

    สุขล้ำ งามเลิศ ประเสริฐส้อง..............มิต้อง มองแสวง แห่งหนไหน
รักษา กุศล ท้นทั่วใจ..............................สุขล้ำ อำไพ ในฉับพลัน

    กุศล สัมผัส มนัสศรี............................ความดี ปรีดา มนาสรรค์
หลุดพ้น มลทิน สิ้นโทษทัณฑ์..................ชีวัน จรรโลง จงจำเริญ ฯ


๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๖

วันพุธที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ความอยาก->ความทุกข์ : กลอนหก



ความอยาก->ความทุกข์ : กลอนหก

    หยาดพิรุณ อันคุ้นเคย................ไฉนเลย ละเลือนหาย
อากาศอ้าว อบผ่าวอาย...................จนระคาย กายระคน

    หมู่เมฆน้อย ลอยบางเบา.............ล้วนสีขาว ไร้เทาฝน
ลมรำเพย เลยล้ำพ้น.......................จนแดดจ้า เริ่มราวี

    ไม่รู้ตัว ชั่วขณะ..........................พลันพบว่า สุระลี้
แดดลับไร้ เงาไม่มี..........................มืดครึ้มคลี่ กรีฑาคลุม

    ฟ้าหมองหม่น เมฆฝนมิด..............ขอบฟ้าปิด สนิทสุม
ม่านสีเทา เร่าเสียงทุ้ม......................ค่อยปรี่รุม กลุ้มกล้ำมา

    ทีละหยาด ถัดละหยด..................พิรุณทด พยศถา
เริงระบำ รำระบาด์...........................ซัดสาดซ่า พาสะพรึง

    อันที่จริง สิ่งที่คน........................คิดว่าตน ขัดสนซึ้ง
เพียงระหาย หลายคะนึง...................ในสิ่งซึ่ง มิพึงครวญ

    " ความอยาก " ไซร้ ไร้ขอบเขต......ทะลวงเจต เทวษป่วน
" อยาก " ยังยง คงยังยวน.................ใคร่คิดหวน คอยรวนเร

    ไม่จำเป็น->เป็น " ต้องมี ".............เรื่องไม่ดี-> ปรี่หันเห
ดั่งไฟสุม ทรวงทุ่มเท........................ฉลไฉเฉ เพทุบาย

    ดิ้นรนส่ำ ล่าความสุข.....................กลับต้องทุกข์ สุขห่างหาย
" ความอยาก " กรู อยู่ไม่กลาย............จึงวุ่นวาย ไปทั่วเอย ฯ


๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๖

วันอังคารที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2556

หลับเถิดคนดี..ราตรีสวัสดิ์ : กลอนรัก



หลับเถิดคนดี..ราตรีสวัสดิ์ : กลอนรัก
(ฉันทลักษณ์ที่ผมคิดประดิษฐ์ขึ้นเอง)

    ดึกแล้ว จอมขวัญ................ดวงจันทร์ ครันเคลื่อน เลือนหาย
เพียงดาว พราวพราย...............ประกาย ประกิด จิตรา(ประกิด=ประดับ)

    หริ่งหรีด เรไร.....................เสียงใส  ให้มี สิเนหา
ฟังแล้ว แก้วตา.......................จะพา ระรื่น ฤทัย

    ลมรำ เพยพลิ้ว...................พัดผม เจ้าปลิว ไสว
ติดตา ตรึงใจ..........................ติดใน รูปงาม รำจวน(รำจวน=รัญจวน)

    น้ำค้าง พร่างพรม................อารมณ์ รักหรรษ์ พลันหวน
โอบเนื้อ เนียนนวล..................อบอวล ล้วนกลิ่น กรรณิการ์

    เวลา หยุดนิ่ง......................ทุกสิ่ง สูญไคล ไร้ค่า
แค่สอง อุรา............................แลสอง กายา ตระกอง

    รำพึง หนึ่งรัก......................พิทักษ์ ภักดี สนอง
ประคับ ประคอง.......................รงรอง สองเรา เพราพิมพ์

    หลับเถิด คนดี.....................ราตรี สวัสดิ์ ปัจฉิม
หลับตา งามพริ้ม......................รอยยิ้ม ริมปาก ฝากไว้

    ล่วงสู่ สุขสันติ์.....................ณ แดน สวรรค์ ครรไล(ครรไล=ไป)
ภิรมย์ ฤทัย.............................หลับใหล นิทรา อาทร ฯ


๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๖

วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2556

แน่น-อก : กลอนการเมือง



แน่น-อก : กลอนการเมือง(กาพย์สุรางคนางค์๓๒)

    คับที่ อยู่ได้..................คับใจ อยู่ยาก
อุรุพงษ์ ลำบาก..................ตากแดด ตรำฝน
แต่ว่า พี่น้อง......................ต้องอยู่ สู้ทน
เพื่อท้า ทรชน....................พลชั่ว รัฐบาล

    หุ่นเชิด ทักษิณ..............โกงกิน ชินชะมัด
เอนเอียง ปฏิบัติ.................สองมาตร (ตระ)ฐาน
ช่วยเหลือ เสื้อแดง..............แกล้งม็อบ ชาวบ้าน
โง่+โกง บริหาร..................ราชการ ลาญกิน

    บัดนี้ ขี้ข้า..................ดาหน้า นิรโทษ
เพื่อผล ประโยชน์................นักโทษ ทักษิณ
ล้างผิด สุดซอย..................ลบรอย มลทิน
จ้องคืน ทรัพย์สิน................ทั้งสิ้น ให้โจร

    ยกผิด พวกเผา...............เหล่าฆา ตกร
คดี ดื่นย้อน.........................รอนกุด หลุดโกร๋น
เผด็จการ รัฐสภา.................เถื่อนป่า ทโมน
ชาติชั่ว หัวโขน...................ทาสโจร ดูไบ

    คนไทย ที่ดี....................มีใจ เที่ยงธรรม
เหลือทน โดนย่ำ..................กล้ำกลืน ฝืนไม่
ต่างมา เรียกร้อง...................ปกป้อง อธิปไตย
" แน่น-อก " ยกใหญ่..............ไพร่ผลาญ แผ่นดิน

    จงลุก ขึ้นมา.....................อย่าเป็น ไทยเฉย
หยุดเป็น เชลย......................ระบอบ ทักษิณ
ร่วมกัน กำจัด........................รัฐบาล พาลทมิฬ
ถอนราก ถากสิ้น....................ล้างแผ่น ดินไทย ฯ


๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๖

วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ตัวประกันผู้ไร้เดียงสา : กาพย์ฉบัง๑๖



ตัวประกันผู้ไร้เดียงสา : กาพย์ฉบัง๑๖

    เด็กน้อยผู้ด้อยเดียงสา...........กำเนิดเกิดมา
อยู่ในฐานะ " ตัวประกัน "

    " ผูกมัด " พ่อ-แม่แค่ให้มั่น............ไม่ใช่ " ผูกพัน "
แต่พันธนาการชีวี

    รับผิดชอบเสียดีๆ............กรรมาราคี
อย่าคิดจะหนีรอดพ้น

    ช่างเศร้า..เอาชีวิตคน...........เลือดเนื้อของตน
เป็นกลไกได้ปรารถนา

    ผูกมัดจิตใจเย็นชา............พันธะมารยา
เพื่อเงินตรา-ฐานะ ฯลฯ มี

    สกปรกแผนแสนอัปรีย์............สามานย์สิ้นดี
นี่หรือคือ " ผู้บังเกิดเกล้า " ?

    ช่างเห็นแก่ตัวมัวเมา.............สติปัญญาเบา
เอาลูกมาประกันตัณหา

    พ่วงกตัญญูกตเวทิตา............เป็นหนี้ชีวา
ใช้กันจนกว่าจะตาย

    พูดจาอย่างหน้าไม่อาย.............อ้าง " บุญคุณ " หลาย
ใหญ่กว่าฟ้าหนากว่าดิน

    สร้างบาปกรรมทำราคิน............เกิดแก่ชีวิน
ไม่จบไม่สิ้น...อจินไตย  

    วิบากกรรมจะตามไป............ไม่ว่าอยู่ไหน
แม้ในชาติหน้าทรมานเอย ฯ


๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๖

วันเสาร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เสียดายเวลา ? : กลอนเปล่า



เสียดายเวลา ? : กลอนเปล่า

ชีวิต...
ย่อมดำเนินไป
ด้วยการตัดสินใจที่จะทำ..
และ / หรือ
ไม่ทำอะไร...

ก่อนการตัดสินใจ
จงอย่าได้เสียดายเวลา
ที่จะครวญใคร่
ใช้ความคิดพิจารณา
ให้รอบคอบเสียก่อน...

ว่า...
ควรทำอะไร
ไม่ควรทำอะไร
ควรทำอย่างไร
ไม่ควรทำเช่นไร...

เพราะว่า...
หากมิทำเช่นนั้น..

อาจจะต้อง
เสียทรัพยา
เสียน้ำตา
เสียใจ
ไปตลอดกาล....

จงอย่าเสียดาย ความพยายาม...
ในการนำสิ่งที่จะทำ...
มาพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน
ให้รอบคอบ รอบด้าน...

ก็เพียงแค่ พยายามคิด...
และพยายามพิจารณา
ก่อนที่จะทำ
มันจะยากเย็น / สูญเสีย
อะไรนักหนา ?

เพราะว่า..
หากมิทำเช่นนั้น...

อาจจะต้อง
เสียดายตลอดไป
เสียใจตลอดกาล...

อาจจะต้องติดอยู่ในปัญหา
นานเท่านาน..
และอาจจะต้องทุกข์ทรมานกาย-ใจ
ไปจนจวบอาสัญ....

 แต่ว่าการอดนอน
บั่นทอนสุขภาพ
ทำให้สมองเสื่อม
เครียด อารมณ์หงุดหงิด

๏ การกินบางสิ่ง เสพบางอย่าง
ที่มีสารสร้างความปรวนแปรแก่จิตใจ
ทำให้ขาดสติสัมปชัญญะ
เคลิบเคลิ้ม มอมเมา

 จงเข้าใจและรู้จักละเว้น
เพราะเป็นสิ่งขัดขวางการใช้ความคิดพิจารณา
เป็นอุปสรรคแก่การควบคุมจิตใจ
ให้เกิดประสิทธิภาพ ฯ

๑๙ ตุลาคม ๒๕๕๖

วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ใบไม้ร่วงในฤดูหนาว : อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑



ใบไม้ร่วงในฤดูหนาว : อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑

    สูรย์สี หิรัญเรือง..................บุรพ์เบื้อง ประเทืองไท
ทาบทา นภาลัย......................นวสิทธิ์ สฤษฏ์มี

    แสงสุนทร์ อรุณส่อง.............อุระว่อง สวัสดี
เหมันต์ สนานศี-......................ตละรุ่ง ทิวารมย์(ศีตล=หนาวเย็น)

    ลมพัด นิวัตน์ไพร.................ลหุไล้ ขจายขรม(นิวัตน์=กลับ,ลหุ=เบา-เร็ว)
พฤกษา ระเริงคม-....................(มะ)นะร่วง สลัดใบ

    แห้งเหลือง คละเนืองนอง......ทละกอง ตระการไกล(ทล=ใบไม้)
ลมขับ ขยับไคล.......................คณะปลิว ละลิ่วปราณ(ปราณ=ชีวิต-ใจ)

    ชีวิต อนิจจา........................ทุระพา วิกฤติผลาญ
ยากเข็ญ ศฤงคาร.....................ปริสู่  ริปูเสริม(ศฤงคาร=สิ่งที่ทำให้เกิดความรัก,ปริ=รอบ)

    ยามดวง ชะตาดี...................สุขะพี ทวีเพิ่ม
ของหาย ก็คลายเดิม.................พสุสม อุดมสันติ์(พสุ=สมบัติ)

    ปรับตัว และหัวใจ..................มิพิไร พิรำพัน(พิไร=ร่ำร้อง)
สุข/เข็ญ ก็เช่นกัน......................นิรทุกข์ สนุกถอน

    ธรรมสุข และทุกข์เศร้า............สิคละเคล้า ภวันดร(ภวันดร=ภพหน้า)
จำหลัก บ่จากจร.........................นรทั่ว พิภพเทียร ฯ(จำหลัก=สลัก-แต่ง,เทียร=ล้วนแล้วไปด้วย)


๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๖

วันพฤหัสบดีที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ละอองล่องลอย : กลอนหก



ละอองล่องลอย : กลอนหก

    หมอกฝน หม่นฟ้า มาฟุ้ง..........ลมพัด ลัดพลุ่ง รุ่งสาง
ละออง ล่องอวล รวนอาง-............ขนาง คว้างคลุ้ง รุ่งเรือง(อางขนาง=ขวยเขิน)

    พายุ พาฝน พลยก..................พร่างพรู ตรูตก ต่อเนื่อง(ตรู=งาม)
ค่ำ->เช้า  เช้า->ค่ำ ชำเลือง.......คืบคลาน กาลเชื่อง ช้าชม

    เช้า->สาย เมื่อไร ไม่รู้.............เพลินดู ภูษิต พิศสม(ภูษิต=ประดับ,แต่ง)
ละออง ล่องฝอย ลอยลม..............ช่างพา อภิรมย์ จมจินต์

    เปรียบปาน การใช้ ชีวี..............โลกีย์ วิสัย ไร้สิ้น
ไม่สุด มนุสสา ราคิน....................ถวิล ถวัลย์ บันเทิง(มนุสสา=มนุษย์)

    ล่วงวัย ล่วงไว ไร้ประหวัด.........กำหนัด กวัดหลง กงเหลิง(กง=วง)
คงเสพ กระสัน กรรเซิง...................บานเบิ่ง เริงร่า อาลัย(กรรเซิง=กระเซิง)

    ชาตะ->ชรา->มรณะ................สาระ ทัศนีย์ ที่ไหน ?
เกิด->แก่->เจ็บป่วย->ตายไป........เช่นไม่ เคยมี ชีวัน

    ฝนซา พายุ สงบ......................พิภพ สบสุ ขะสันติ์ 
แสงผ่อง ส่องพร่าง พนันดร์..............หยดน้ำ เพชรผัน ประไพ(พนันดร=ภายในป่า)

    ชีพเรื่อง เบื้องหลัง มรณะ...........คติ คีตะ คราไส
บรรเลง เพลงบท กฎไกร................แห่งวัฎฎ์ วิลัย ทำนอง ฯ(วิลัย=การสลาย)


๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๖

วันพุธที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ความรัก ความต่าง : โคลงสี่สุภาพ



ความรัก ความต่าง : โคลงสี่สุภาพ

. บุปผาแผกแปลกด้วย.............สีสัน
รูปลักษณ์หลายสายพันธุ์...........เพริศพร้อย
จากดอกออกผลผัน..................ดาลดื่น
แตกต่างตระการร้อย.................โลกหล้าอลงกรณ์ ฯ(อลงกรณ์=การประดับ)

. อันกรวดหินทั่วทั้ง.................โลกา
เกินกว่าจะคณนา......................นับได้
มีรูปร่างลานตา.........................หลากแบบ
ทุกส่วนทุกก้อนไซร้..................ล้วนไม่ซ้ำกัน ฯ

. พิจารณาในพี่น้อง..................ร่วมครรภ์
สืบสายเลือดกรรมพันธุ์...............เกิดพ้อง
ลักษณะแตกต่างกัน...................ปรากฏ
เป็นบทพิสูจน์ซ้อง.....................สรรพต้องแผกผัน ฯ

. จิตใจปัจเจกแล้.....................หลากหลาย
แตกต่างอย่างมากมาย...............ทั่วหน้า
ความคิดอ่านบรรยาย.................ไป่หมด
ตรง-ซื่อ-คด-โฉดช้า..................ชั่วร้ายรังสรรค์ ฯ

. " ความรัก " จึงหลากล้วน........ลักษณา
แตกต่างเหนือพรรณนา...............กล่าวได้
" รัก " เกิด-ดับ-ลับลา.................แปรเปลี่ยน
ของแต่ละคนไร้.........................คลึงคล้ายครรลอง ฯ

. จิตดีงามย่อมให้....................." รัก "งาม
จิตชั่วฉลดลทราม......................" รัก "ไซร้
" รักดี "ย่อมมอบความ................สุขสันติ์ ปันมี
" รักชั่ว " เห็นแก่ได้....................ไป่เอื้ออาทร ฯ

. โดยสรุปพอกล่าวไว้.................วิธาน(วิธาน=กฎเกณฑ์)
คนชั่วฉล รนราญ........................." รัก " ไร้
" รัก " มีแต่ในมาน.....................นิรมล
คนที่ดีจึงให้.............................." รักแท้ " สถิตเห็น ฯ


๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๖