ยินดีต้อนรับ อาคันตุกะ ทุกท่าน

สมัคร Blogger.com ตั้งแต่ยังเป็นเว็ปอิสระ ต้องสร้างรหัสผ่าน แต่ตอนนั้นเพิ่งหัดใช้คอมพิวเตอร์จึงทำผิดพลาดตอนสร้างรหัส ทำให้บล็อก avijjabhikkhu เข้าไม่ได้ ต้องสร้างบล็อกใหม่ใช้ชื่อใหม่ จากคำว่า bhikkhu เป็น pikkhu แทน
ด้วยข้อจำกัดด้านเวลา-ข้อมูล-สติปัญญา-ความรู้ความสามารถ-ความรีบเร่ง ทำให้เกิดความผิดพลาดได้ ผู้เขียนขออภัยเป็นอย่างยิ่ง และขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำเพื่อการแก้ไขความผิดพลาด ผู้เขียนไม่สงวนลิขสิทธิ์สำหรับการคัดลอก การนำไปเผยแพร่ที่ไม่ใช่เพื่อการค้า ขอเพียงแต่อย่าแอบอ้างว่าเป็นผลงานของผู้อื่น แต่ผู้เขียนขอสงวนลิขสิทธิ์ในผลงานนี้ สำหรับการนำไปเผยแพร่เพื่อการค้าหากำไร
*นักเรียน อย่าลอกเป็นการบ้านไปส่งครูนะครับ เพราะไม่สุจริต ไม่เป็นประโยชน์แก่การพัฒนาความรู้ความสามารถ ดูไว้เป็นตัวอย่างก็พอ
มีอะไรสงสัย ไม่เข้าใจ ต้องการคำอธิบาย ก็ถามมาได้

วันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2554

วิธีแต่งกลอนให้เก่ง....ไพเราะ

         
วิธีแต่งกลอนให้เก่ง....ไพเราะ

*การมีพื้นฐานด้านหลักภาษาไทย-หลักการใช้ภาษาไทยมีความสนใจ ขยันหมั่นเพียร ฝึกฝน พัฒนาความรู้-ความสามารถอยู่เสมอ
คือสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย
สำหรับผู้ต้องการแต่งบทกวีที่่ไพเราะ และเชี่ยวชาญ


ทั้งยังจำเป็นที่จะต้อง
ท่องศัพท์ จำศัพท์และความหมาย ไว้ให้มากๆ
แต่ความจำความรู้ของคนเรา ก็มีขีดจำกัด
ดังนั้น ในการแต่งกลอนจึงมักต้องค้นหาศัพท์เสมอๆ 
การไม่มีพจนานุกรมไทย ไว้ค้นคว้า
จะแต่งกลอนให้ดีได้ยาก

*ต้องหมั่นแต่งกลอนบ่อยๆ แต่งเป็นประจำ
กิจกรรมทุกอย่าง หากมีความชำนาญ ก็จะทำได้คล่อง ทำได้ดี
ซึ่งต้องอาศัยการทำบ่อยๆ ทำเป็นประจำ สม่ำเสมอ
คิดอะไร ก็พยายามให้คำ สัมผัสเป็นกลอน

*ดูตัวอย่าง บทกวีที่มีชื่อเสียง
เพื่อศึกษาฉันทลักษณ์ กลวิธี กลบท ของประเภทการประพันธ์
สร้างความคุ้นเคยกับฉันทลักษณ์
และได้รู้ศัพท์ที่ไม่รู้ด้วย
โดยเฉพาะการแต่งหลากหลายฉันทลักษณ์
หากเริ่มโดยการทบทวนบทกลอนเก่าๆที่แต่งโดยฉันทลักษณ์นั้นๆก่อน
จะทำให้แต่งได้ง่าย และราบรื่น

*การเลือกประเภทบทประพันธ์ 
ควรให้สอดคล้องตอบสนองเนื้อเรื่อง
เพราะฉันทลักษณ์ของบทประพันธ์ จะบังคับการใช้ศัพท์ - พยัญชนะ - สระ ฯลฯ
ซึ่งส่งผลต่อ ความหมายของเนื้อหาสาระ และรสสัมผัสของจังหวะ - เสียง
โดยเฉพาะหากกำหนดคำศัพท์ไว้ล่วงหน้า

ควรเลือกศัพท์ และเสียง รับกันกับเนื้อเรื่อง
จะสลับเสียงสูงต่ำไปมา หรือ สม่ำเสมออย่างไร
ขอให้เอาจิตใจเป็นเครื่องวัดความไพเราะ
เอาอารมณ์-ความรู้สึกวัดความเสนาะ
อย่าใช้แค่ปากอ่าน - หูรับฟัง
ไม่จำเป็นต้องยึดเสียงวรรณยุกษ์ตามหลักที่ตำราอ้างตามวรรค เช่น สดับ-รับ-รอง-ส่ง ฯลฯ
นอกจากจะแต่งเพื่อใช้ร้องทำนองเสนาะ

*ที่สำคัญ คือ อารมณ์สุนทรีย์
ต้องมีประจำอยู่ในอารมณ์-ความรู้สึกนึกคิด-จิตใจ
โดยเฉพาะในยามที่แต่งกลอน ยามคิดถ้อยคำ
ปล่อยใจ ปล่อยอารมณ์ ให้เป็นอิสระ ล่องลอยไปสู่อากาศ
ปลดปล่อย จินตนาการ - ความรู้สึก - ความคิด....ให้พ้นจากพันธนาการใดๆทั้งหมด
ดำดิ่งลงไป ในห้วงแห่งจินตนาการของความคิดสร้างสรรค์
พาตัวเองให้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องที่แต่ง
มีสมาธิกับการเรียงร้อยประดิษฐ์ถ้อยคำเพียงอย่างเดียว
(ถ้าทำอย่างอื่นไปด้วย สมาธิอาจไขว้เขวได้)

*ใส่ความคิด ความสนใจ ความรู้สึก เข้าไปร่วมในเรื่องที่เรากำลังแต่ง
สร้างอารมณ์ ให้กลมกลืนกับเนื้อเรื่องที่แต่ง
กลอนอกหัก ก็เศร้า ..
กลอนรัก ก็ หวานซึ้ง...
กลอนตลกก็ต้องขบขัน
กลอนการเมืองก็ต้องเข้มข้น หนักแน่น
กลอนธรรมะ ก็ สะอาด สงบ สว่าง....ฯลฯ
เลือกฉันทลักษณ์ เลือกศัพท์ ให้เหมาะสมกับเนื้อหาด้วย
จึงจะได้อรรถรส

*หมั่นฝึกฝนแต่งกลอน ทุกวัน - ทุกเวลา ที่มีโอกาส
แต่งอย่างสม่ำเสมอ เป็นกิจวัตรประจำวัน ไม่ละทิ้ง
ต้องฝึกตน ให้เป็นคนมีสุนทรียภาพในจิตใจ 
มีอารมณ์ที่สวยงาม 
มีความรู้สึกอันละเอียดอ่อน
มีความคิดอ่านที่ลึกซึ้ง
เปิดหูเปิดตา หาความรู้-วัตถุดิบใหม่ๆ อย่าได้หยุดอยู่กับที่
แต่งบ่อยๆ จะเกิดเป็นอารมณ์กวี ประจำตัว ประจำใจ

*นอนหลับให้เพียงพอ 
เพราะการอดนอนเป็นสาเหตุให้สมองเสื่อม 
ความจำเสื่อม ความคิดเบลอ เฉื่อยชา คิดอะไรไม่ออก (ง่วงนอน ปวดหัว อารมณ์เสีย ด้วย)
หลีกเลี่ยงบุหรี่-สุรา-ยาเสพย์ติด 
เพราะเป็นพิษ ทำลายเซล์สมอง

*มีอารมณ์แน่วแน่ ในรสแห่งกลอน เรื่องนั้นๆ
มีเนื้อหาการแต่ง ที่เป็นเรื่องเดียวกัน
แต่งให้สอดคล้อง - ต่อเนื่องกันไป
เอาแต่เนื้อๆ มีน้ำให้น้อยที่สุด
อย่ามีแต่ น้ำ หรือ น้ำผสมเนื้อ
อย่าให้มีคำมากมาย แต่จับใจความสำคัญไม่ได้เลย
เริ่มจากการอารัมภบท จนนำไปสู่การสรุปประเด็นในบทสุดท้ายได้ ยิ่งดี

*ควรร่างเนื้อเรื่องคร่าวๆก่อน หรือ กำหนดไว้ในสมอง
จัดวางเค้าโครงเรื่อง 
มีการวางแผน จัดลำดับเรื่องราว จากต้นไปหาปลาย
แล้วค่อยแต่งตามนั้น
แต่งไปหากเกิดติดขัด ก็ปรับแก้ได้ แต่ต้องอยู่ในกรอบ
และอย่าลืมอ่านทบทวน แก้ไขปรับปรุง 
ไม่ให้เนื้อหากระจัดกระจายไปคนละทาง
(บ่อยครั้งก็เริ่มจากการคิดได้แค่บางส่วน ต้องแต่งก่อน แล้วค่อยๆคิดส่วนที่เหลือทีหลัง แต่ต้องสอดคล้องกัน)

*หาความรู้-หาข้อมูลใหม่ๆ-แต่งเรื่องใหม่ๆ-ฉันทลักษณ์ใหม่ๆบ้าง
จะได้ไม่ซ้ำซาก
การพัฒนากระบวนการคิด การคัดสรรความรู้....ก็สำคัญ
ต้องมีการศึกษาหาความรู้ หาเรื่องราว ข้อมูล
มีหูตากว้างไกล มีความคิดลึกซึ้ง
มีคุณธรรมความงามดี มีศีลธรรมประจำใจ

*อย่าแต่งแบบ ต้องฝืนแต่งให้ได้ ทั้งๆที่ ไม่มีไอเดีย
แต่ต้องทำให้ ความคิดสร้างสรรค์ ทำงานร่วมกับจิตอันเป็นกุศล 
เมื่อเกิดไอเดีย เกิดประกาย ก็จดเก็บไว้ก่อน
เอามาค่อยๆขยายความ เพื่อแต่งต่อ 
ไม่มีไอเดีย ก็นิ่งๆไว้ ปล่อยใจให้สบายๆ
ไม่ต้องฝืนแต่ง 
เพราะ กลอนที่ฝืนแต่งมักไม่ได้เรื่อง 
เสียเวลาแต่งเปล่าๆ 

การจะนำความคิด-ข้อมูล มาแปลงเป็นบทกลอนได้
ต้องใช้เวลาในการบ่มเพาะความคิด-ข้อมูล ให้สุกงอม
ดังนั้น การคิดการสนใจในเรื่องใดๆอยู่เสมอ
ย่อมทำให้สามารถเรียงร้อยเรื่องนั้นๆได้รวดเร็ว

แต่งกลอนแล้ว วางเก็บเอาไว้ ก่อน
อย่าเพิ่งรีบร้อน-เร่งรีบเผยแพร่
ค่อยหวนกลับมาอ่านสัก 3-4 รอบ  เว้นระยะเป็นวันได้ยิ่งดี
ตรวจตรา ทบทวน แก้ไข ให้แน่ใจค่อยเผยแผ่ออกไป
บางทีแต่งเสร็จแล้ว เผยแพร่แล้วเป็นปี ก็กลับมาพบข้อบกพร่อง แก้ไขปรับปรุงใหม่ได้
เพราะอาจพบว่าแต่งพลาด-พิมพ์ผิด โดยไม่รู้ตัว
(โดยเฉพาะเวลาเร่งรีบ-มีปัญหาอื่นค้างคาใจ-สมองเบรอเพราะง่วง/ไม่สบายฯลฯ)

*ขยันฝึกฝนบ่อยๆ
ปรึกษาผู้รู้
เลือกแนวที่ชอบ - ถนัด
แล้วจะประสบความสำเร็จ

สิ่งที่ขาดไม่ได้ สำหรับนักประพันธ์ที่ดี คือ การเป็นผู้ที่
รัก " ที่จะแสวงหาวิชาความรู้ พัฒนาความคิด-จิตใจ
รัก " ที่จะถ่ายทอดความคิด-ความรู้สึก ออกมาเป็นบทประพันธ์
รัก " ที่จะแต่งกลอน

ไม่ว่าจะแต่งได้ดี/แย่ สักแค่ไหน ก็ รัก " ที่จะแต่ง
แม้ว่าจะใช้ทำมาหาเลี้ยงชีพไม่ได้ ก็ รัก " ที่จะแต่ง
บ่อยเข้าๆ ก็แต่งได้ดีเอง
ซึ่งแตกต่างจากคนที่ อยาก " แต่ง โดยไม่ได้ " รัก "
คนแบบนี้ มักอยากแต่ง-อยากทำ " ตามคนอื่น
โดยที่ตัวเอง ไม่มีความ รัก " การแต่งกลอนเลย

*อย่าลืม
สติปัญญาที่ดี จิตใจที่งดงาม ของผู้แต่ง
จะทำให้เกิดบทประพันธ์ที่ ไพเราะ สวยงาม เปี่ยมด้วยคุณค่า
ความเป็นคนละเอียด ช่างสังเกต ช่างคิดและช่างจินตนาการ
เป็นคุณสมบัติสำคัญที่นักคิด-นักเขียนจำเป็นจะต้องมี 
และต้องมีมากกว่าคนทั่วๆไป

ใช้สมองคิด
ใช้จิตใจประดิษฐ์ประดอย

การเรียงร้อยบทกวี เป็นการสร้างสรรค์งานศิลปะ ด้วยตัวอักษร
บทกวี คือ งานศิลปะ ไม่ใช่ งานวิชาการ
ถ้าไม่เข้าใจ จะไม่มีวันสร้างสรรค์ บทกวีที่เป็นอมตะ " ได้

ขอให้สมหวังและมีความสุขกับการแต่งกลอน ฯ

๘ ตุลาคม ๒๕๕๔

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น