ยินดีต้อนรับ อาคันตุกะ ทุกท่าน

สมัคร Blogger.com ตั้งแต่ยังเป็นเว็ปอิสระ ต้องสร้างรหัสผ่าน แต่ตอนนั้นเพิ่งหัดใช้คอมพิวเตอร์จึงทำผิดพลาดตอนสร้างรหัส ทำให้บล็อก avijjabhikkhu เข้าไม่ได้ ต้องสร้างบล็อกใหม่ใช้ชื่อใหม่ จากคำว่า bhikkhu เป็น pikkhu แทน
ด้วยข้อจำกัดด้านเวลา-ข้อมูล-สติปัญญา-ความรู้ความสามารถ-ความรีบเร่ง ทำให้เกิดความผิดพลาดได้ ผู้เขียนขออภัยเป็นอย่างยิ่ง และขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำเพื่อการแก้ไขความผิดพลาด ผู้เขียนไม่สงวนลิขสิทธิ์สำหรับการคัดลอก การนำไปเผยแพร่ที่ไม่ใช่เพื่อการค้า ขอเพียงแต่อย่าแอบอ้างว่าเป็นผลงานของผู้อื่น แต่ผู้เขียนขอสงวนลิขสิทธิ์ในผลงานนี้ สำหรับการนำไปเผยแพร่เพื่อการค้าหากำไร
*นักเรียน อย่าลอกเป็นการบ้านไปส่งครูนะครับ เพราะไม่สุจริต ไม่เป็นประโยชน์แก่การพัฒนาความรู้ความสามารถ ดูไว้เป็นตัวอย่างก็พอ
มีอะไรสงสัย ไม่เข้าใจ ต้องการคำอธิบาย ก็ถามมาได้

วันจันทร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ข้อความถึงหญิงคนรัก (เรื่อง ประสบการณ์ด้านจิตวิญญาน ตอนที่ ๔ )

        
                   

ข้อความถึงหญิงคนรัก (เรื่อง ประสบการณ์ ด้านจิตวิญญาณ ตอนที่ ๔ )

ที่รักจ้ะ.....

      ประสบการณ์ด้านจิตวิญญาณคราวนี้ เป็นวิญญาณของเพื่อนพี่ อีกคนจ้ะ  พี่จะเล่าประสบการณ์ด้านจิตวิญญาณเพียงเรื่องนี้ก่อน แล้วจะหยุด เพราะที่มีเหลือ ก็เป็นเรื่องที่ฟังเขาเล่ามาอีกที ไม่ใช่พี่ประสบกับตัวเอง พี่ไม่แน่ใจในรายละเอียดและข้อเท็จจริง จึงไม่กล้าเล่าจ้ะ
      จบจากเรื่องนี้ พี่ตั้งใจจะเล่าเรื่อง ชีวิตพระธุดงค์ของพี่ ใช้ชื่อว่า "หนึ่งชีวิต พระธุดงค์ "น่าจะมีประมาณสิบกว่าตอนจ้ะ ขอเวลาทบทวนอดีตหน่อยนะจ้ะ

      ที่รักจ้ะ....
      ต่อเนื่องจากเรื่องตอนที่ ๓ พี่ยังป็นพระ พักอยู่กุฏิอนุสรณ์....จนมีพระเถระรูปหนึ่ง เป็นมหาเปรียญ กำลังล็อบบี้เจ้าอาวาสซึ่งครองตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดด้วย เพื่อให้ตัวเองได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะอำเภอแทนพระที่เพิ่งมรณภาพไป
      วัฒนธรรมของพระที่พี่เห็น..ก็แปลก พออยากได้ตำแหน่งทางการปกครอง ก็ต้องย้ายตัวเองมาอยู่วัดเดียวกับผู้ปกครองที่สูงกว่า ผู้มีอำนาจเสนอชื่อตนเป็นพระปกครอง อยากเป็นเจ้าคณะตำบล ก็ย้ายไปอยู่กับเจ้าคณะอำเภอ...อยากเป็นเจ้าคณะอำเภอ ก็ย้ายไปอยู่กับเจ้าคณะจังหวัด ..ฯลฯตามลำดับไปเรื่อยๆ เพื่อคอยเอาอกเอาใจ รับใช้ปรนนิบัติสารพัดงาน แสดงความเป็นลูกน้องผู้ซื่อสัตย์ ...ฯลฯ จิปาถะ ชอบทำกันในระหว่างเข้าพรรษา จะต่อเวลาไปอีกเท่าไหร่ พี่ก็ไม่รู้ จะต้องเสียอะไรอีกบ้าง อันนี้....พี่ไม่สนใจจะเข้าไปยุ่ง

      ที่รักจ้ะ...
      พี่จบ ป.ตรีรัฐศาสตร์ พอจะมองออกว่า นี่คือ วัฒนธรรมแบบ "มูลนาย-ไพร่ " ที่ครอบงำสังคมพระอยู่อย่างไม่เสื่อมคลาย เพราะมีการวางระบบไว้ให้เป็นเช่นนั้น ด้วยระบบ "สมณะศักดิ์ , พัดยศ " ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา การปฏิสัมพันธ์ระหว่าง พระกับพระ พระกับญาติโยม ดำเนินไปตามวัฒนธรรมนี้ จนเป็นแบบแผนว่า นี่คือพฤติกรรมที่ดีงามสำหรับพุทธบริษัท
      แต่น้องอย่าเข้าใจว่า เป็นธรรมวินัยของพระพุทธเจ้านะจ้ะ ตรงกันข้ามกันเลย..พระพุทธเจ้าไม่ได้กำหนดให้มีการปกครองแบบผู้ปกครอง-ผู้ใต้ปกครอง ไม่มีการกำหนดผู้บังคับบัญชา-ผู้ใต้บังคับบัญชา พระต่างมีอิสระ-เสรีภายใต้วินัยที่พระพุทธเจ้าทรงกำหนดขึ้น พระไม่มีสังกัด ไม่ขึ้นตรงต่อใคร / สำนักไหน ความสัมพันธ์เป็นแบบ อาจารย์-ลูกศิษย์ เพื่อน-เพื่อน บวชก่อน-บวชหลัง เท่านั้นเอง
      แม้แต่ตอนพระพุทธเจ้ากำลังจะปรินิพพาน ก็ไม่แต่งตั้งใครมาเป็นศาสดาแทนพระองค์ ทรงเพียงแต่บอกว่า " ธรรมวินัย "จะเป็นศาสดา หลังจากพระองค์ปรินิพพาน
      ตามธรรมวินัย เจ้าอาวาสก็เป็นแค่คนดูแลวัด-กุฏิ ฯลฯ ไม่มีสิทธิ์ปกครองพระในวัดด้วยซ้ำ

      ที่รักจ้ะ.....
      เมื่อพระมหาเปรียญ ท่านนี้มาอยู่วัดนี้ ท่านก็มาพักที่กุฏิอนุสรณ์ที่พี่พักอยู่ มีการเข้าๆออกๆของคนมากมาย จนพี่รำคาญ จึงตัดสินใจว่า ต้องหาที่พักใหม่
      พี่เดินสำรวจวัดที่มีเนื้อที่ ประมาณ ๒๐ ไร่ มีกำแพงอิฐฉาบปูนล้อมรอบ โดยที่มุมหนึ่งถูกกันเป็น พื้นที่"ป่าช้า" มีเมรุ-ศาลา และที่เก็บศพ "คนตายโหง " ที่ก่อสร้างด้วยอิฐฉาบปูน แต่สูงกว่า-กว้างกว่าโลงศพ ก่ออิฐปิดท้าย ด้านหน้าเปิดเป็นช่องสำหรับใส่โลง-ศพเข้าไป เมื่อมีศพใส่เข้าไปแล้ว จะก่ออิฐปิดอีกที พอเอาโลง-ศพออกมาเผา ก็ทุบอิฐที่ก่อปิดช่องนั้น เอาโลง-ศพออกมา แล้วใช้ใส่ศพรายต่อๆไปได้ ที่เก็บศพวัดนี้ มีสิบกว่าอัน
      กุฏิที่ใกล้ที่สุด ห่างจากบริเวณ "ป่าช้า "ประมาณ  ๒๐๐ เมตร ไม่มีใครสัญจร ยกเว้นมีงานศพ ด้านหนึ่งติดกับถนนลาดยางเส้นเล็กๆ ที่ไม่ค่อยมีรถวิ่งผ่าน
      ด้านข้างพื่นที่ป่าช้า มีศาลาเก็บอุปกรณ์งานศพ มีที่ว่างพอจะกั้นห้องขนาด ๓ เมตร x ๓ เมตรได้ เพิ่มอีก ๑ ห้อง บริเวณนี้ค่อนข้างสงบ ไม่มีใครอยากแวะเวียนมา ยกเว้น.......ใช่แล้ว...นอกจากคนๆนี้...
      พี่เอง...คิดว่า ที่นี่แหละ เหมาะดีนักแลแก่การปลีกวิเวก จึงไปขออนุญาตท่านเจ้าอาวาส เมื่อได้รับอนุญาต พี่ก็ซื้อวัสดุอุปกรณ์มากั้นห้องเอง พี่พอมีฝีมือทางช่างอยู่บ้าง เป็นช่างประเภทที่เขาเรียกว่า..ช่าง(หัวมัน) หลังจากกั้นห้องเสร็จ พี่ก็ย้ายจากกุฏิอนุสรณ์...มาอยู่ข้างป่าช้า ดังนี้แล....
      อยู่ที่นี่จนเข้าพรรษาปีสุดท้ายสำหรบพี่ ที่จะสอบนักธรรมเอกหลังออกพรรษา ก็เผอิญว่า เพื่อนที่เรียนม.ปลายด้วยกันคนหนึ่ง เป็นผู้ชาย ขับรถมอเตอร์ไซค์ ไปชนกับรถยนต์จนเสียชีวิตคาที่ ภาษาชาวบ้านเรียกว่า "ตายโหง"จ้ะ ศพของเพื่อนคนนี้ ถูกนำมาเก็บไว้ที่ป่าช้าวัดนี้ด้วย ศพของคนที่ "ตายโหง " เขาจะเก็บศพไว้จนครบ ๑๐๐ วัน จึงจะทำการเผาจ้ะ
      
      ที่รักจ้ะ.....
      ตอนที่ศพของเพื่อนพี่ ถูกเก็บไว้ที่วัดนี้ พีก็ได้แวะเวียนไปพูดคุยด้วยหลายครั้ง (พี่ยังไม่บ้าจ้า...) ประสาเพื่อนกัน (พี่คิดว่า เขาน่าจะยังไม่ไปเกิดใหม่ เพราะร่างของเขายังอยู่ เขาตายแบบไม่ได้เตรียมตัว / รู้ตัวว่าจะต้องตาย) โดยเฉพาะใกล้ออกพรรษา พี่เตรียมย้ายไปอยู่สำนักสงฆ์แห่งหนึ่ง พอหาที่ที่จะไปได้แล้ว พี่ก็มาร่ำลาเพื่อนพี่ ที่นอนสงบนิ่งอยู่ในโลงข้างป่าช้า
      ก่อนออกพรรษา มีงานศพงานหนึ่ง เจ้าภาพเปิดเพลงทั้งคืน (คงกลัวความเงียบ) จนพี่ซึ่งนอนข้างป่าช้านอนไม่หลับอยู่ ๓ คืนติดต่อกัน กว่าจะเสร็จงานนั้น พี่แทบแย่ เพราะกลางวันก็ต้องอ่านหนังสือ ทำสมาธิก็ไม่ไหว สะลึมสะลือ...เพลียเหลือเกิน...
      หลังเสร็จงานนั้น พี่นอนหลับสนิท ๒ คืนเต็มๆ แบบไม่ตื่นขึ้นมากลางดึกเลย
      จนคืนที่ ๓ พี่ตื่นมากลางดึก...
      หลับตาท่ามกลางความมืด..รู้สึกตัวว่า ได้นอนเต็มที่...ร่างกายเอิบอิ่ม...สติสตังกลับมาแล้ว แต่ทันใดนั้น...
      เสียงรถมอเตอร์ไซค์ที่น่าจะมีขนาดไม่ต่ำกว่า ๑๒๕ c.c. แล่นมาด้วยความเร็วสูง เสียงเครื่องยนต์-เสียงท่อไอเสียดังลั่นมาจากถนนลาดยางข้างป่าช้า...ตามด้วยเสียงรถคันนั้นล้มครูดไปบนถนนลาดยางดังลั่น..ตามด้วยเสียงรถกระแทก-อัดเข้ากับกำแพงป่าช้า ดังสนั่นหวั่นไหว...เสียงเศษเหล็กกระเด็นกระดอนกระจายไปทั่ว
      ถึงตรงนี้..พี่ลืมตาโพลงท่ามกลางความมืด..คิดกับตัวเองว่า"...ไอ้หมอนี่ น่าจะคางเหลือง...ป่านนี้ เลือดคงอาบทั่วร่าง แข้งขาคงหักหมด คงกำลังหายใจพะงาบพะงาบ รอความตายอยู่..." แล้วพี่ก็หยิบนาฬิกามาดู เป็นเวลา ตี ๒ ครึ่ง พี่เริ่มวางแผนว่า "..ต้องพาเขาไปส่งโรงพยาบาลโดยด่วน ..ห่มจีวร..เอาเงินติดตัวออกไปจ้างรถที่ถนนใหญ่ ที่ห่างไปเกือบ ๕๐๐ เมตร พาไอ้หมอนี่ไปส่งโรงพยาบาลก่อนที่มันจะตาย..."
      แล้วพี่ก็ลุกขึ้นจากที่นอน ห่มจีวร-เอาเงินใส่กระเป๋า-เปิดประตู..เดินลัดผ่านทางกลางป่าช้าไปที่กำแพง ซึ่งกลางคืนจะมีแสงจากไฟข้างถนนตรงทางเข้าป่าช้าอยู่ ๑ ดวง ขนาด ๒๕ วัตต์
      พี่ปีนกำแพง ยื่นหน้ามองออกไปหาร่างไอ้หมอนั่น กวาดตามองไปทางซ้าย...ว่างเปล่า กวาดตามองไปทางขวา....ว่างเปล่า...???  พี่ถามตัวเองว่า "...เอาละสิ มันเกิดเหตุตรงไหนกันแน่...???"
      พี่เดินอ้อมไปปีนกำแพงอีกด้าน เพราะคิดว่า แสงสว่างจากหลอดไฟดวงเดียว ไม่เพียงพอที่จะมองอะไรได้ชัดเจน..กวาดตามองจากซ้ายไปขวา ๒ รอบ..ว่างเปล่า....
      พี่จึงฉุกคิดว่า "...เอ..สงสัย โดนเพื่อนเราแกล้งซะแล้ว..."
      คิดได้ดังนั้น พี่ก็เดินผ่านกลางป่าช้ากลับห้องพัก ระหว่างทางก็คิดแบบคุยกับเพื่อนว่า "...เพื่อน นายจะมาทดสอบความมีเมตตาธรรมของเราใช่ไม๊ ?....ทีนี่ นายคงรู้ละสิว่า เราเป็นพระที่อบรมจิตใจให้มีพรหมวิหารธรรมที่ดีระดับหนึ่งแล้ว เราบริจาคเลือดทุกๆ ๓ เดือน แค่ช่วยพาคนส่งโรงพยาบาล เรื่องแค่นี้...จิ๊บจ๊อย..ไอ้เพื่อนเอ๋ย..." พอกลับถึงห้อง พี่ก็นอนต่อ...
      ตอนเช้าตรู่ พี่ออกบิณฑบาต ได้เดินผ่านบริเวณกำแพงป่าช้าด้านนอกอีกที กำแพงก็ดูเรียบร้อย..ถนนลาดยาง ก็สะอาด ไม่มีริ้วรอยใดๆทั้งสิ้น
      "..เฮ้อ...โดนผีหลอกอีกแล้วเรา..." พี่บอกตัวเอง

      ที่รักจ้ะ...
      หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ (พี่ทานอาหารวันละครั้งเดียว ทานในบาตร บิณฑบาตเป็นวัตร ตามธุดงค์วัตรจ้ะ ) พี่ก็เข้าไปที่ป่าช้าอีก ไปคุยกับเพื่อน บอกเขาว่า "เพื่อน...หลังจากออกพรรษา เราจะย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้วนะ...หลังจากนั้นไม่นาน ร่างของนายก็ถูกเผา..นายจะได้ไปผุดไปเกิดเสียที...เพื่อน..ด้วยกุศลผลบุญที่เราได้บำเพ็ญเพียรมา ขออุทิศให้นาย...ไปสู่สุคติภพนะ...เพื่อน...."
      ........................................................
      คิดมาถึงตรงนี้ หัวใจพี่หายวาบ....ที่ต้องสูญเสียเพื่อนไปอีกคน...อย่างไม่มีวันที่จะได้พบกัน หัวเราะ พูดคุย สังสรรค์กันอีก...ตลอดไป....

                                                         รักจ้ะ...

                                                 คนเดิม    หัวใจดวงเดิม....จ้ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น