ยินดีต้อนรับ อาคันตุกะ ทุกท่าน

สมัคร Blogger.com ตั้งแต่ยังเป็นเว็ปอิสระ ต้องสร้างรหัสผ่าน แต่ตอนนั้นเพิ่งหัดใช้คอมพิวเตอร์จึงทำผิดพลาดตอนสร้างรหัส ทำให้บล็อก avijjabhikkhu เข้าไม่ได้ ต้องสร้างบล็อกใหม่ใช้ชื่อใหม่ จากคำว่า bhikkhu เป็น pikkhu แทน
ด้วยข้อจำกัดด้านเวลา-ข้อมูล-สติปัญญา-ความรู้ความสามารถ-ความรีบเร่ง ทำให้เกิดความผิดพลาดได้ ผู้เขียนขออภัยเป็นอย่างยิ่ง และขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำเพื่อการแก้ไขความผิดพลาด ผู้เขียนไม่สงวนลิขสิทธิ์สำหรับการคัดลอก การนำไปเผยแพร่ที่ไม่ใช่เพื่อการค้า ขอเพียงแต่อย่าแอบอ้างว่าเป็นผลงานของผู้อื่น แต่ผู้เขียนขอสงวนลิขสิทธิ์ในผลงานนี้ สำหรับการนำไปเผยแพร่เพื่อการค้าหากำไร
*นักเรียน อย่าลอกเป็นการบ้านไปส่งครูนะครับ เพราะไม่สุจริต ไม่เป็นประโยชน์แก่การพัฒนาความรู้ความสามารถ ดูไว้เป็นตัวอย่างก็พอ
มีอะไรสงสัย ไม่เข้าใจ ต้องการคำอธิบาย ก็ถามมาได้

วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553

ความโง่ไม่ใช่ความผิด ความฉลาดไม่ใช่ความดี

                                                             


ความโง่ไม่ใช่ความผิด ความฉลาดไม่ใช่ความดี


ดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติ
ที่จะเห็นการรังเกียจคนที่มีสติปัญญาทราม ราวกับว่าเขาได้ทำความผิด / ชั่ว
และเห็นการชื่นชมคนที่มีสติปัญญาดี ราวกับว่าเขาได้ประกอบวีรกรรม / ความดีไว้

ยิ่งกว่านั้น
ยังมีผู้ที่มองคนซื่อสัตย์สุจริต ว่าเป็นคนโง่
มองคนเจ้าเล่ห์ฉ้อฉลว่า เป็นคนเฉลียวฉลาด

แต่แท้ที่จริงแล้ว
ความโง่ ไม่ใช่ความผิด.......ไม่ใช่ความชั่ว
ความฉลาด ไม่ใช่ความดี......ไม่ใช่ความถูกต้อง

แต่การทุจริต คิดคด ไร้ศีลธรรม ต่างหากที่เป็นความผิดและความโง่
การสุจริต ซื่อตรง มีศีลธรรม จึงเป็นความดี-ความถูกต้องและฉลาด

เพราะการทุจริต คิดคด ไร้ศีลธรรม จะส่งผลให้ผู้กระทำประสบกับความเสื่อม
 มีชีวิตที่ลำบากเดือดร้อน มีความทุกข์เป็นผล

การสุจริต ซื่อสัตย์ มีศีลธรรม จะส่งผลให้ผู้กระทำประสบกับความเจริญ
มีชีวิตที่สงบ สบาย และมีความสุขเป็นผล

แต่การที่มีใครทุจริต คิดคด ไร้ศีลธรรม แล้วได้ดี มีความสุข
อาจเป็นเพราะ เขาทำถูกกาลเทศะ  เช่น ทำตอนที่ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครรู้
ทำถูกกับคน เช่น คนทุจริตย่อมชอบคนทุจริตด้วยกัน
จึงยังไม่ได้รับผลชั่วในทันที
(แต่ถึงอย่างไร เขาจะได้รับความเสื่อมทรามของจิตใจและนิสัย ในทันที)
หรืออาจเป็นเพราะ เขาได้ทำดีเอาไว้แต่ปางก่อน ผลของความดี เพิ่งจะตามมาให้ผลในตอนนี้
แต่ถึงอย่างไร เมื่อผลของความชั่วที่เขากระทำได้ติดตามมาถึง
เขาย่อมไม่อาจหลบเลี่ยงผลกรรมไปได้

การที่มีบุคลใดสุจริต ซื่อสัตย์ มีศีลธรรม แล้วไม่ได้ดี หรืออาจได้ชั่ว
อาจเป็นเพราะ เขาทำไม่ถูกกาลเทศะ เช่น ทำตอนไม่มีใครเห็น ไม่มีใครรับรู้
ทำกับบุคคลที่ทุจริต ย่อมไม่บังเกิดผลดีใดๆ จนถึงอาจได้รับผลร้ายก็ได้
หรืออาจเป็นเพราะ เขาเคยทำกรรมชั่วเอาไว้แต่ปางก่อน แล้วเพิ่งได้รับผลในตอนนี้
แต่อย่างไรก็ตาม เขาย่อมได้รับความสุขใจ ความเจริญทางนิสัยในทันที
เมื่อผลของกรรมดีตามมาให้ผลเมื่อใด
เขาย่อมได้รับกุศลกรรมอีกอย่างแน่นอน

การทำความดีเป็นศิลปะ 
ต้องเลือกบทธรรม เลือกเวลา เลือกสถานที่ เลือกสถานการณ์
และเลือกคนที่ทำด้วย จึงจะได้ผลเร็ว

การมีชีวิต ต้องเลือกว่าจะดำเนินชีวิตอย่างไร ? ไปทางไหน ?
มีศีลธรรม หรือไร้ศีลธรรม ?

หากความสัจจ์จริงทุกสิ่งทุกอย่างปรากฏ
คงไม่มีใครทำความชั่ว คงต่างทำดีกันไปหมด
แต่ไม่ใช่ทำดีเพราะเป็นคนดี แต่เพราะกลัวผลของความชั่วต่างหาก
แล้วจะคัดแยกคนดีและคนชั่วออกจากกัน
จัดส่งให้ไปเกิด ไปอยู่ในภพเดียวกันได้อย่างไร ?

ด้วยความที่บุคคลผู้โชคดี มีวาสนา มีโอกาส มีประสบการณ์ด้านมิติที่ ๔ ,๕ ,๖....
ประสบการณ์ด้านจิตวิญญาณ โลกของเจตภูต และมิติภพอื่นๆนั้น มีน้อยแสนน้อย
ทั้งยังมีผู้คิดคด สร้างเรื่องโกหกพกลมไว้หลอกลวงคนอื่นอีกมากต่อมาก
อีกทั้งด้วยความที่เป็นสิ่งเหนือการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์

จึงทำให้คนส่วนใหญ่ ที่ไม่มีประสบการณ์ ขาดโอกาส
ต่างพากันคิดว่า กฎแห่งกรรม ภพชาติ วิญญาณ ฯลฯ
เป็นเรื่องงมงาย ไร้สาระ เหลวไหล

เรื่องนี้ จึงพูดได้แต่เพียงว่า
เป็นไปตามกลไกของธรรมชาติ
เป็นบุญวาสนา เป็นวิบากกรรรม ของแต่ละคน
ช่วยอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้ ฯ

๒ กันยายน ๒๕๕๓

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น